ประเทศไทยจัดเป็นประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะการพัฒนาด้านอุตสาหกรรม ดังจะเห็นได้ว่ามีโรงงานการผลิตทั้งขนาดเล็กขนาดใหญ่เกิดขึ้นมากมายตามการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เมื่อมีโรงงานเกิดขึ้นประเทศไทยย่อมมีความต้องการพลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ในขณะที่ความสามารถของปริมาณการผลิตยังไม่สามารถเพิ่มอัตราการผลิตได้ จึงมีแนวโน้มสูงว่าประเทศไทยอาจจะเกิดวิกฤติการณ์ทางพลังงานไฟฟ้าได้ในอนาคต เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2556 เวลา 14.00 ประเทศไทยมีความต้องการพลังงานไฟฟ้าสูงสุดที่ 26,598.14 เมกะวัตต์ และมีการประมาณการณ์ช่วงกลางเดือนเมษายน 2557 จะมีความต้องการพลังงานไฟฟ้าสูงสุดที่ 27,250 เมกะวัตต์
ปัจจุบันประเทศไทยมีความต้องการพลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นปีละ 1,200 เมกะวัตต์ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ประเทศไทยต้องสร้างโรงไฟฟ้าใหม่เพิ่มขึ้น และเนื่องจากปัจจุบันมีการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงการผลิตในอัตราที่สูง ประมาณร้อยละ 70 ของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าทั่วประเทศ รองลงมาคือลิกไนท์และถ่านหินที่ร้อยละ 20 ที่เหลือเป็นพลังงานหมุนเวียนและซื้อไฟจากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเป็นการเพิ่มเสถียรภาพในการผลิตไฟฟ้า ประเทศไทยต้องลดการซื้อเชื้อเพลิงจากต่างประเทศพร้อมทั้งลดการใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติและเพิ่มเชื้อเพลิงชนิดอื่นในการผลิต
ตามแผนพัฒนาพลังงานทดแทน 15 ปี พ.ศ.2551-2565 โดยกระทรวงพลังงาน ให้เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนให้เป็นร้อยละ 20 ของการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายของประเทศ ในปี 2565 โดยมีเป้าหมายการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ 120 เมกะวัตต์
ก๊าซชีวภาพ (Biogas หรือ Digester gas) หรือ ไบโอก๊าซ คือก๊าซที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่ได้จากการย่อยสลายสารอินทรีย์ภายใต้สภาวะที่ปราศจากออกซิเจน โดยทั่วไปจะหมายถึง ก๊าซมีเทน ที่เกิดจากการหมัก(Fermentation) ของอินทรีย์วัตถุ ก๊าซชีวภาพเป็นพลังงานสะอาด เป็นแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่สำคัญ ก๊าซชีวภาพที่เกิดขึ้นจะผ่านกระบวนการบำบัด หรือทำให้ก๊าซมีความสะอาดปลอดภัยมากขึ้น โดยการกำจัดความชื้นและก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟล์ออกไป
ก๊าซชีวภาพประกอบด้วย
- ก๊าซมีเทน 75% มีคุณสมบัติจุดไฟได้ดี
- ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 20% เป็นก๊าซเฉื่อย ไม่ติดไฟ
- ก๊าซอื่นๆ 5% เช่น ก๊าซไฮโดรเจน ก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ ก๊าซไนโตรเจน
ขั้นตอนและปฏิกิริยาการเกิดก๊าซชีวภาพ
ปฏิกิริยาชีวเคมีของกระบวนการย่อยสารอินทรีย์โดยแบคทีเรียในสภาวะไร้ออกซิเจน แบ่งออกได้ 4 ขั้นตอน ซึ่งในแต่ละขั้นตอนจะอาศัยการทำงานของจุลินทรีย์ต่างชนิดกัน ดังนี้
ขั้นที่ 1 การสลายสารโมเลกุลใหญ่ (Hydrolysis)
สารอินทรีย์ต่างๆที่มีขนาดโมเลกุลใหญ่ เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรท และไขมัน จะถูกย่อยสลายโดยเอนไซม์ ทำให้แตกตัวมีขนาดเล็กลงอยู่ในรูปที่ละหลายน้ำได้
ขั้นที่ 2 การหมัก (Fermentation)
จุลินทรีย์จะเปลี่ยนสารอินทรีย์ละลายน้ำกลายเป็นกรดอินทรีย์ระเหย (Volatile fatty acid)
ขั้นที่ 3 การผลิตกรดอินทรีย์ (Acidogenesis)
แบคทีเรียที่สร้างกรด (acid forming bacteria) จะย่อยสลายกรดอินทรีย์กลายเป็นกรดอะเซติก (Acetic Acid) หรือที่รู้จักกันคือ กรดน้ำส้ม ก๊าซไฮโดรเจน และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ขั้นที่ 4 การผลิตก๊าซมีเทน (Methanogenesis)
กรดอินทรีย์ระเหยง่ายจะถูกย่อยสลายเป็นก๊าซมีเทนและคาร์บอนไดออกไซด์เป็นส่วนใหญ่ อาจมีก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ ไนโตรเจน ไฮโดรเจนและไอน้ำผสมอยู่ด้วย ซึ่งรวมกันเรียกว่า "ก๊าซชีวภาพ"
หลังจากที่ได้รู้ขั้นตอนและกระบวนการการเกิดก๊าซชีวภาพแล้ว
ต่อไปจะนำเสนอกระบวนการทั้งหมดของโรงไฟฟ้าไบโอแก๊ส เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครอบคลุมและภาพประกอบที่สมจริง ผู้เขียนขออนุญาตใช้บริษัทปาล์มพัฒนาชายแดนใต้เป็นกรณีศึกษา ซึ่งเป็นบริษัทที่ผู้เขียนกำลังปฏิบัติหน้าที่เป็นโอเปอเรอเตอร์อยู่
โรงไฟฟ้าไบโอแก๊สเป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซชีวภาพเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า โดยก๊าซชีวภาพได้มาจากการหมักน้ำเสีย
เริ่มต้นจากน้ำเสียที่ได้จากการบีบปาล์มเพื่อสกัดเอาน้ำมัน น้ำเสียที่ได้จะมีอุณหภูมิร้อน ประมาณ 60 - 70 องศาเซลเซียส ก่อนที่จะเอาน้ำเสียไปหมักจะต้องทำการลดอุณหภูมิของน้ำเสียก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้อุณหภูมิในบ่อหมัร้อนเกินจนไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้และเพื่อป้องกันไม่ให้แบคทีเรียในบ่อหมักตาย การลดอุณหภูมิของบ่อหมักใช้หลักการง่ายๆ คือ ปล่อยน้ำเสียลงในบ่อที่มีขนาดใหญ่ เพื่อให้พื้นผิวน้ำสัมผัสกับอากาศภายนอก เมื่อลดอุณหภูมิได้ระดับหนึ่งแล้ว ก็ส่งน้ำเสียเข้าบ่อหมักโดยผ่านอาคารกระจ่ายน้ำ
น้ำเสียที่เติมลงในบ่อจะทำปฏิกิริยากับแบคทีเรียที่อยู่ในบ่อจนเกิดก๊าซ จากนั้นจึงนำก๊าซที่อยู่ในบ่อป้อนเข้าเครื่องผลิตไฟฟ้า แต่เนื่องจากก๊าซที่ได้จากการหมักมีทั้งก๊าซพึ่งประสงค์เช่น มีเทน(CH4) และไม่พึงประสงค์ เช่น ไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) จึงจะต้องทำการลดหรือดักก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ให้หมดไปหรือให้ลดลงได้มากที่สุดตามจำนวนที่อนุโลมได้ เนื่องจากว่าเมื่อก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ไปสัมผัสกับน้ำหรือไอน้ำจะเปลี่ยนสภาพเป็นกรดซัลฟิวริกซึ่งมีฤทธิ์กัดกร่อนสูง ถ้าหลุดเข้าไปในเครื่องจะทำให้อายุการใช้งานของเครื่องสั้นลง วิธีการดักหรือกรองก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ ใช้สครับเบอร์ (Scrubber) เป็นตัวดักกรอง
ก๊าซที่ได้จากการหมักในบ่อและผ่านการดักกรองโดยสครับเบอร์จะมีความชื่นมาก จึงต้องมีการลดความชื่นและลดอุณหภูมิของก๊าซด้วยชิลเลอร์ (Chiller) ก่อนที่ก๊าซจะเข้าชิลเลอร์อุณหภูมิของก๊าซจะอยู่ที่ 35 องศา หลังออกจากชิลเลอร์อุณหภูมิจะลดลงเหลือประม่ณ 16 องศา พร้อมด้วยน้ำที่ได้จากการดักความชื่น จากนั้นจะใช้ บลอเวอร์ (Blower) เพื่อดูดก๊าซและเพิ่มแรงดันให้ก๊าซเคลื่อนไปสะสมที่ถังพักก๊าซ (Buffer Tank) และก๊าซที่อยู่ในถังก็จะไหลเข้าสู่เครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Generator) เป็นเชื้อเพลิงเพื่อทำการปันไดนาโมผลิตกระแสไฟฟ้าออกมาปริมาณตามขนาดของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ไฟฟ้าที่ออกจากเครืองกำเนิดไฟฟ้าจะถูกส่งไปตู้ควบคุมไฟฟ้าต่างๆ GCP, MDB, MCC ในระดับแรงดัน 300 - 400 โวลต์ พลังงานไฟฟ้าบางส่วนจะถูกนำไปใช้ในส่วนต่างของแพลนต์(Plant)โดยรับไฟจากตู้ MCC จุดนี้ พลังงานไฟฟ้าที่เหลือก็จะถูกขายให้การไฟฟ้า ก่อนที่จะส่งขายไฟให้การไฟฟ้า ต้องเพิ่มแรงดันไฟฟ้าให้อยู่ในระดับเดียวกับระบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูงของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค คือ 33 กิโลโวลต์(33,000 โวลต์) โดยอัพแรงดันผ่านหม้อแปลงไฟฟ้า
แล้วส่งไฟผ่านสวิตช์เกียร์ 33 เควี และโหลดเบรคสวิตช์(SF6 Load Break Switch) แล้วส่งมอบไฟให้การไฟฟ้า เป็นอันจบสิ้นกระบวนการโรงไฟฟ้าพลังงานไบโอแก๊ส
Reference:
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน
กรมพลังงานทหาร
![]() |
ขอบคุณรูปภาพจาก http://www.egat.co.th |
ตามแผนพัฒนาพลังงานทดแทน 15 ปี พ.ศ.2551-2565 โดยกระทรวงพลังงาน ให้เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนให้เป็นร้อยละ 20 ของการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายของประเทศ ในปี 2565 โดยมีเป้าหมายการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ 120 เมกะวัตต์
ก๊าซชีวภาพ (Biogas หรือ Digester gas) หรือ ไบโอก๊าซ คือก๊าซที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่ได้จากการย่อยสลายสารอินทรีย์ภายใต้สภาวะที่ปราศจากออกซิเจน โดยทั่วไปจะหมายถึง ก๊าซมีเทน ที่เกิดจากการหมัก(Fermentation) ของอินทรีย์วัตถุ ก๊าซชีวภาพเป็นพลังงานสะอาด เป็นแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่สำคัญ ก๊าซชีวภาพที่เกิดขึ้นจะผ่านกระบวนการบำบัด หรือทำให้ก๊าซมีความสะอาดปลอดภัยมากขึ้น โดยการกำจัดความชื้นและก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟล์ออกไป
ก๊าซชีวภาพประกอบด้วย
- ก๊าซมีเทน 75% มีคุณสมบัติจุดไฟได้ดี
- ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 20% เป็นก๊าซเฉื่อย ไม่ติดไฟ
- ก๊าซอื่นๆ 5% เช่น ก๊าซไฮโดรเจน ก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ ก๊าซไนโตรเจน
ขั้นตอนและปฏิกิริยาการเกิดก๊าซชีวภาพ
ปฏิกิริยาชีวเคมีของกระบวนการย่อยสารอินทรีย์โดยแบคทีเรียในสภาวะไร้ออกซิเจน แบ่งออกได้ 4 ขั้นตอน ซึ่งในแต่ละขั้นตอนจะอาศัยการทำงานของจุลินทรีย์ต่างชนิดกัน ดังนี้
ขั้นที่ 1 การสลายสารโมเลกุลใหญ่ (Hydrolysis)
สารอินทรีย์ต่างๆที่มีขนาดโมเลกุลใหญ่ เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรท และไขมัน จะถูกย่อยสลายโดยเอนไซม์ ทำให้แตกตัวมีขนาดเล็กลงอยู่ในรูปที่ละหลายน้ำได้
ขั้นที่ 2 การหมัก (Fermentation)
จุลินทรีย์จะเปลี่ยนสารอินทรีย์ละลายน้ำกลายเป็นกรดอินทรีย์ระเหย (Volatile fatty acid)
ขั้นที่ 3 การผลิตกรดอินทรีย์ (Acidogenesis)
แบคทีเรียที่สร้างกรด (acid forming bacteria) จะย่อยสลายกรดอินทรีย์กลายเป็นกรดอะเซติก (Acetic Acid) หรือที่รู้จักกันคือ กรดน้ำส้ม ก๊าซไฮโดรเจน และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ขั้นที่ 4 การผลิตก๊าซมีเทน (Methanogenesis)
กรดอินทรีย์ระเหยง่ายจะถูกย่อยสลายเป็นก๊าซมีเทนและคาร์บอนไดออกไซด์เป็นส่วนใหญ่ อาจมีก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ ไนโตรเจน ไฮโดรเจนและไอน้ำผสมอยู่ด้วย ซึ่งรวมกันเรียกว่า "ก๊าซชีวภาพ"
หลังจากที่ได้รู้ขั้นตอนและกระบวนการการเกิดก๊าซชีวภาพแล้ว
ต่อไปจะนำเสนอกระบวนการทั้งหมดของโรงไฟฟ้าไบโอแก๊ส เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครอบคลุมและภาพประกอบที่สมจริง ผู้เขียนขออนุญาตใช้บริษัทปาล์มพัฒนาชายแดนใต้เป็นกรณีศึกษา ซึ่งเป็นบริษัทที่ผู้เขียนกำลังปฏิบัติหน้าที่เป็นโอเปอเรอเตอร์อยู่
โรงไฟฟ้าไบโอแก๊สเป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซชีวภาพเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า โดยก๊าซชีวภาพได้มาจากการหมักน้ำเสีย
![]() |
ภาพรวมของโครงการทั้งหมด |
![]() |
อาคารกระจายน้ำ |
![]() |
ถัง Scrubber (สีเขียว) |
แล้วส่งไฟผ่านสวิตช์เกียร์ 33 เควี และโหลดเบรคสวิตช์(SF6 Load Break Switch) แล้วส่งมอบไฟให้การไฟฟ้า เป็นอันจบสิ้นกระบวนการโรงไฟฟ้าพลังงานไบโอแก๊ส
Reference:
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน
กรมพลังงานทหาร